บทที่
1
บทนำ
ภูมิหลัง
การเขียนเป็นการแสดงออกทางความรู้ด้านภาษาศาสตร์ผ่านทางตัวอักษร
งานเขียนจำเป็นที่จะต้องมีความชัดเจน กระชับ น่าสนใจ รูปแบบของงานเขียน
แต่ละประเภท เช่น จดหมาย กลอน ชีวประวัติ เรียงความหรืองานเขียนอื่นๆ
ผู้เขียนจะต้องมีความรู้พื้นฐานของงานเขียนแต่ละประเภทอยู่แล้วและไม่สามารถเขียนอะไรได้โดยที่ไม่มีข้อมูลหรือมีความรู้ในด้านนั้นๆมาก่อน
การเขียนเป็นการเพิ่มพูนความรู้ทางด้านภาษาศาสตร์ผ่านสมรรถภาพในการจดจำข้อมูล (Andrew.
2007 : 2- 3) และยังเป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกของตัวบุคคล
เป็นการสื่อสารระหว่างบุคคลและสังคม เป็นการแสดงออกทางวัฒนธรรมและเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์
การถ่ายทอดและการยอมรับข้อตกลงที่กำหนดไว้ในสังคม (Richards. 2003 : 27) นอกจากนั้นการเขียนเป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้
การที่จะพัฒนาการเขียนของผู้เรียนให้ประสบความสำเร็จในด้านการศึกษา
ผู้สอนมีความจำเป็นจะต้องช่วยเหลือให้ผู้เรียนได้บรรลุผลในการเขียน
สิ่งสำคัญคือผู้สอนต้องการที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้เป็นนักเขียนที่ดี
การเขียนเป็นกิจกรรมที่มีความซับซ้อนและยากพอสมควร ฉะนั้นการสอนทักษะนี้ทำให้เกิดการสับสนแก่ผู้เรียนภาษาที่สองจากแบบแผนของภาษาเดิมสู่การเขียนเป็นภาษาที่สอง
ผู้สอนต้องส่งเสริมผู้เรียนด้วยกิจกรรมที่หลากหลายในห้องเรียน (Hedda. 2009 : Web Site)
การเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นการเขียนที่แสดงออกถึงความคิด
ความรู้สึกและจินตนาการของผู้เขียน ซึ่งแสดงออกมาได้อย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
อาจจะเป็นในรูปแบบของบทกวี การเขียนบรรยาย ในงานเขียนเชิงสร้างสรรค์ผู้เขียนต้องการจะแสดงออกทั้งความรู้สึกและความคิดมากกว่าด้านข้อเท็จจริงและเหตุผล
(Asma
Mansoor. 2010 :
web site)
โดยจะเน้นไปที่บทบาทของการแสดงความเป็นตนเอง ซึ่งค่อนข้างจะแตกต่างกับการให้ความสำคัญกับผู้ฟัง
เพราะจะเจาะจงไปถึงเนื้อหาความคิดที่ปรากฏในกระดาษ (Hedda. 2009 :
Web Site) กิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์เป็นกระบวนการทำให้เกิดผลผลิตทางความคิดและนำไปสู่ผลงานทางการเขียนเชิงสร้างสรรค์
ซึ่งเป็นการถ่ายทอดและแปลงความคิดจากมโนคติรวมเข้าด้วยกัน (John.
1999 : 6) ในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ผู้เขียนจะต้องเลือกสรรคำศัพท์และจัดกระบวนการความคิด
การเขียนเชิงสร้างสรรค์จะรวมไปถึง การเขียนบทประพันธ์ บทละคร เรื่องสั้น
และเรียงความ และนิยาย ซึ่งกระบวนการของการเขียนต้องมีการตรวจทานและแก้ไข (Tricia. 2003 :
Website) การเขียนเชิงสร้างสรรค์ทำให้นักเรียนมีอิสระในการแสดงความคิดของตนเองโดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ
การเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นงานส่วนบุคคลที่การแสดงความเป็นตัวเอง เช่น
เมื่อนักเรียนได้ค้นคว้าแล้วได้ความรู้ ซึ่งความรู้ที่ได้จะเข้าไปอยู่ภายในความคิดของตนเองจากนั้นดึงเอาสิ่งนั้นออกมาแล้วแสดงผ่านมุมมองและความรู้สึกผ่านการเขียน
นักเรียนมีโอกาสตรวจแยกความคิดของตนเองผ่านประสบการณ์ที่ทำให้เกิดความรู้ใหม่ มุมมองและการแสดงออกทางความคิด
การเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นวิถีทางของการค้นพบความหมาย เป็นการสร้างความรู้ใหม่เพิ่มพูนความรู้เดิม
นำมาแปลงเป็นสิ่งใหม่จึงเกิดเป็นความรู้ใหม่
(Asma Mansoor. 2010 : Web
Site)
การเขียนเชิงวิจารณ์เป็นการเขียนเพื่อบ่งบอกความรู้สึกเป็นการเขียนเชิงการโต้แย้งถกเถียง
ตีความและแสดงความคิดเห็นจากความเข้าใจ เป็นการประเมินผลทางความคิดและแบ่งบันทัศนคติ (Pope
2002 : Web Site) การเขียนเชิงวิจารณ์เป็นผลมาจากการคิดวิจารณญาณเป็นการคิดหาเหตุผลที่เชื่อมโยงกับข้อโต้แย้งหรือเพื่อที่จะชั่งน้ำหนักหลักฐานเพื่อยืนยันความชัดเจน (Goatly. 2000
: Web Site) การคิดและการเขียนเชิงวิจารณ์เป็นทักษะที่พัฒนาความสามารถในการหาเหตุผลตามหลักตรรกะวิทยาของการโต้แย้งทางแนวความคิดจะเกิดขึ้นหลังการอ่าน
ซึ่งผู้เรียนควรจะได้รับการฝึกฝนในทักษะเหล่านี้เพื่อที่จะเข้าใจได้ว่าทำไมสิ่งนั้นจึงเกิดและเกิดความคิดลำดับเหตุการณ์
ไม่ใช่แต่เพียงทำความเข้าใจ
ซึ่งผู้เรียนจะต้องเกิดคำถามภายในสิ่งที่ตนได้อ่านและแสดงออกมาเป็นการเขียนที่มีประสิทธิภาพ
ประโยชน์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของการคิดและเขียนเชิงวิจารณ์คือนักเรียนสามารถที่จะเรียนรู้ที่จะเข้าถึงปัญหาจากหลายๆมุมมอง
ทักษะเหล่านี้สามารถทำให้ผู้เรียนกลายเป็นคนที่ยอมรับฟังความคิดเห็นและสามารถแสดงออกทางความคิดด้วยการเขียนด้วยการค้นคว้าหาหลักฐานสำหรับข้อโต้แย้งของพวกเขา
การคิดเชิงวิจารณ์เกิดจากการตั้งคำถาม เช่น
นักเรียนอ่านนิยายและประเมินการอ่านโดยวินิจฉัยแรงจูงใจและมุมของผู้เขียนที่สื่อผ่านตัวละคร
ผู้สอนช่วยผู้เรียนมีการจัดกระบวนการความคิดซึ่งจะทำให้ผู้เรียนสามมารถพัฒนาข้อโต้แย้งของตนด้วยการเขียนที่ใช้เนื้อหาที่อ่านเป็นหลักฐาน
อีกหนึ่งคุณสมบัติของการคิดและเขียนเชิงวิจารณ์คือการตีความจากเรื่องโดยเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ปัจจุบัน
ผู้เรียน เรียนรู้ความสำคัญบริบทของความเข้าใจเมื่อตัดสินด้วยเหตุการณ์ที่เกิดจากเรื่อง (Hellowell. 2011
: Web Site)
ในปัจจุบันเทคโนโลยีการเรียนการสอนจำนวนมากถูกปรับให้เป็นการเรียนแบบอินเตอร์แอคทีฟ
เนื่องจากผู้ใช้งานหรือผู้เรียนมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ได้ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการป้อนข้อมูล นั้นหมายความว่าผู้เรียนสามารถควบคุมการเรียนรู้ของตนเองได้
แทนที่จะมีคำตอบใช่หรือไม่ใช่
ถูกหรือผิดเหมือนที่เกิดขึ้นในการเรียนห้องเรียนแบบเก่า
แต่ด้วยเทคโนโลยีการเรียนการสอนในขณะนี้ผู้เรียนมีความสามารถที่จะสร้างคำตอบที่ถูกต้องผ่านขั้นตอนการทำกิจกรรมที่เสริมสร้างศักยภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนให้เพิ่มขึ้น (Susan. 2003
: Web Site) เนื่องจากคลื่นลูกใหม่ของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในขั้นพื้นฐานที่ใช้ในการจัดหาข้อมูลที่เรียกว่า
อินเตอร์แอคทีฟมัลติมีเดีย คือ สื่อที่มีส่วนประกอบแบ่งตามลักษณะของการนำเสนอเนื้อหา
รูปภาพ เสียง
ภาพเคลื่อนไหว และวิดีโอ บางคนอาจเรียกว่า สื่อ
คือการนำสื่อประเภทต่างๆมาจัดเรียงกันลงในโปรแกรม ในส่วนของการปฏิสัมพันธ์กล่าวถึง
กระบวนการของการให้อำนาจกับผู้ใช้ในการควบคุมสิ่งต่างๆโดยใช้คอมพิวเตอร์ (Irene. 2003 :
7) อินเตอร์แอคทีฟมัลติมีเดียมีเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาการแสดงออกทางการเรียนรู้โดยการยกระดับความพอใจของผู้ใช้งาน (Sanjaya.
2007 : 1)
การเขียนเชิงสร้างสรรค์และการเขียนเชิงวิจารณ์โดยใช้สื่ออินเตอร์แอคทีฟมัลติมีเดีย
ทำให้เกิดกระบวนการการเรียนรู้ที่สามารถเชื่อมโยงกับนักเรียนได้ดี ทั้งครูและนักเรียนสามารถควบคุมกิจกรรมในห้องเรียนให้ลื่นไหลไปได้
ปัจจัยหลักในการใช้อินเตอร์แอคทีฟมัลติมีเดีย คือ
การนำเอาสื่อนี้เข้าไปใช้ในการศึกษา
เพื่อเป็นการเชื่อมโยงกับนักเรียนในการทำกิจกรรมต่างๆ ในห้องเรียนเช่น
การเขียนวิจารณ์บทความ นิยาย เป็นต้นซึ่งผู้สอนจะใช้สื่อในกลุ่มที่หลากหลาย เช่น
ตำราเรียน รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียง แอนนิเมชั่น เป็นต้น
เพื่อเป็นการส่งเสริมประสบการณ์การเรียนรู้
ทำให้นักเรียนมีความสามารถในการอธิบายข้อเท็จจริง
เปรียบเทียบความแตกต่างของเนื้อหา และทำให้นักเรียนสามารถอนุมานสิ่งต่างๆ
สามารถระลึกได้
หลังจากที่ได้ทำกิจกรรมในชั้นเรียนโดยเรียนรู้จากสื่ออินเตอร์แอคทีฟมัลติมีเดีย
(Mishra. 2005
: 61)
ด้วยหลักการและเหตุผลดังกล่าว กลุ่มผู้วิจัยจึงเห็นว่า
การนำสื่ออินเตอร์แอคทีฟมัลติมีเดียมาใช้เป็นสื่อในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์และการเขียนภาษาอังกฤษเชิงวิจารณ์
จะทำให้เกิดการเรียนรู้ตามความสามารถของผู้เรียน
เพราะการใช้สื่ออินเตอร์แอคทีฟมัลติมีเดียเข้ามามีส่วนร่วมในบทเรียนนั้นเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ปฏิสัมพันธ์กับสื่อ ทำให้สนุกสนาน
พร้อมทั้งเป็นการให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะการคิดสร้างสรรค์และทักษะการคิดวิจารณ์
ในการสร้างเรื่องราวแล้วสื่อสารผ่านเขียนหลังจากการเรียนรู้จากสื่อ
ดังนั้นสื่ออินเตอร์แอคทีฟมัลติมีเดียมีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะทำให้นักเรียนเรียนรู้ได้ง่ายขึ้นและกระตุ้นให้นักเรียนมีความสนใจในการเรียนภาษามากขึ้น
จากเหตุผลที่กล่าวมาจึงทำให้กลุ่มผู้วิจัยสนใจที่จะนำสื่ออินเตอร์แอคทีฟมัลติมีเดียมาช่วยในการพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์และการเขียนเชิงวิจารณ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้บรรลุตามความมุ่งหมายในการพัฒนาทักษะการเขียนให้ดีมากขึ้น
ความมุ่งหมายของการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อใช้กระบวนการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนแบบร่วมมือ
พัฒนาทักษะการการเขียนภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์และการเขียนภาษาอังกฤษเชิงวิจารณ์
โดยใช้อินเตอร์แอคทีฟมัลติมีเดียเป็นสื่อในการเรียนรู้ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่
3/1 โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด
ความสำคัญของการวิจัย
1. เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1
โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติพระสมเด็จพระศรีนครินทร์ อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด มีทักษะการเขียนภาษาอังกฤษที่ดีขึ้น
2. ใช้อินเตอร์แอคทีฟมัลติมีเดียเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ
3. การใช้อินเตอร์แอคทีฟมัลติมีเดียเพื่อพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษในครั้งนี้
จะเป็นแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อผู้วิจัย ครูผู้สอนและผู้ที่สนใจ
เพื่อส่งเสริมการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ
ขอบเขตของการวิจัย
1.
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด ปีการศึกษา 2554
จำนวนนักเรียน 40 คน 1
ห้องเรียน
2. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย
ใช้เวลาในการวิจัย ทั้งสิ้น 1 ภาคเรียน คือ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2554
3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย
เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้
ผู้วิจัยพิจารณาจากหนังสือ เอกสารประกอบการวิจัย และคู่มือการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
ของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ พุทธศักราช 2544 ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1.1
Unit: Myself Topic: Opinion Sub-topic: Social Policy
มี 1 แผนการสอน
ใช้เวลาทั้งหมด 3 ชั่วโมง
1.2
Unit: Interest Opinion Topic: Movie
มี 1 แผนการสอน ใช้เวลาทั้งหมด 3 ชั่วโมง
1.3
Unit: Health Topic: Weight measurement
มี
1
แผนการสอน ใช้เวลาทั้งหมด 3 ชั่วโมง
นิยามศัพท์เฉพาะ
1.อินเตอร์แอคทีฟมัลติมีเดีย
หมายถึง สื่อที่มีส่วนประกอบแบ่งตามลักษณะของการนำเสนอ ประกอบด้วย เนื้อหา รูปภาพ เสียง
ภาพเคลื่อนไหว และวิดีโอ อินเตอร์แอคทีฟมัลติมีเดีย เป็นสื่อปฏิสัมพันธ์ที่ใช้ในทางการศึกษา
เพื่อเป็นการเชื่อมโยงกับนักเรียนในการทำกิจกรรมต่างๆ ในห้องเรียน เช่น การจินตนาการแต่งเรื่องตามภาพ
การแต่งบทประพันธ์ การเขียนวิจารณ์บทความ นิยาย เป็นต้น ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยให้ผู้เรียนเรียนรู้จากสื่ออินเตอร์แอคทีฟมัลติมีเดีย
เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์และการเขียนเชิงวิจารณ์
ทำให้นักเรียนมีความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ ได้แก่ การคิดริเริ่มแปลกใหม่
รวมถึงมีความสามารถในการคิดวิจารณญาณ ได้แก่ การอธิบายข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น
เปรียบเทียบความแตกต่างของเนื้อหา และทำให้นักเรียนสามารถอนุมานสิ่งต่างๆ
สามารถระลึกได้
หลังจากที่ได้ทำกิจกรรมในชั้นเรียนโดยเรียนรู้จากสื่ออินเตอร์แอคทีฟมัลติมีเดีย
2. ความคิดสร้างสรรค์
หมายถึง การแสดงออกถึงความคิดความรู้สึกและจินตนาการของผู้เขียน
ซึ่งแสดงออกมาได้อย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ผลงานการเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะแสดงออกทั้งความรู้สึกและความคิดมากกว่าด้านข้อเท็จจริงและเหตุผลสิ่งเหล่านี้จะแสดงออกมาให้เห็นจากการทำกิจกรรมต่างๆ
ได้แก่ กิจกรรมการเขียนบรรยายภาพ การเขียนเรียงความ
หลังจากที่ได้ทำกิจกรรมในชั้นเรียนโดยเรียนรู้จากสื่ออินเตอร์แอคทีฟมัลติมีเดีย
3. ความคิดวิจารณญาณ
หมายถึง การบ่งบอกความรู้สึกในเขียนเชิงการโต้แย้งถกเถียง
ตีความและแสดงความคิดเห็นจากความเข้าใจ
เป็นการประเมินผลทางความคิดและแบ่งบันทัศนคติ การเขียนเชิงวิจารณ์เป็นผลมาจากการคิดเชิงวิจารณญาณเป็นการคิดหาเหตุผลที่เชื่อมโยงกับข้อโต้แย้งหรือเพื่อที่จะชั่งน้ำหนักหลักฐานเพื่อยืนยันความชัดเจนสิ่งเหล่านี้จะแสดงออกมาให้เห็นจากการทำกิจกรรมต่างๆ
ได้แก่ กิจกรรมการเขียนแยกข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็น การเขียนระบุเหตุและผล
หลังจากการเรียนรู้จากอินเตอร์แอคทีฟมัลติมีเดีย
4. การวิจัยปฏิบัติการ หมายถึง
การใช้กระบวนการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ปรับปรุงและพัฒนาทักษะการเขียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
3/1 โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จศรีนครินทร์
อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด โดยใช้ใช้อินเตอร์แอคทีฟมัลติมีเดีย
ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ได้ใช้กระบวนการวิจัยปฏิบัติการรูปแบบของเคมมิส
และแม็คเท็กการ์ท (Kemmis and McTaggart) ประกอบด้วย
วงจรการปฏิบัติ 4 ขั้นตอน คือขั้นวางแผน (Plan) ขั้นลงมือปฏิบัติ (Action) ขั้นการสังเกตการณ์ (Observation)
และขั้นการสะท้อนผลการปฏิบัติ (Reflection)
No comments:
Post a Comment